ด่านตรวจพืช ตีกลับทุเรียนหมอนทอง จากล้งที่ จ.ชุมพร 38 ตัน ส่งขายประเทศจีน พบมีทั้งเพลี้ย ราดำ อ่อน เผยทุเรียนสวมสิทธิ์ ระบาดหนัก อาจดับอานคตทุเรียนไทย
เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด
เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธรรมนูญ แก้วคงคา ผอ.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วยนายก้องกษิต สุวรรณวิหค ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาเกษตร เขต 7 สุราษฎร์ธานี นายธีระศักดิ์ ยมสวัสดิ์ เกษตรจ.ชุมพร และกำลังสารวัตรเกษตร นายตรวจพืช
ลงพื้นที่ตรวจสอบล้งรับซื้อทุเรียนส่งออกประเทศจีน ม.7 ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร ซึ่งมีเจ้าของเป็นชาวจีน หลังจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืช จ.นครพนม และ จ.มุกดาหาร รับแจ้งว่ามีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์นำทุเรียนหมอนทองที่ไม่ผ่านการตรวจของด่านตรวจพืช ถูกส่งกลับมา โดยมีนายวีรวัฒน์ จีระวงส์ นายกสมาคมชาวสวนผลไม้ชุมพร นำคณะมาร่วมสังเกตุการณ์ด้วย
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบทุเรียนหมอนทองบรรจุในกล่องกระดาษน้ำหนักรวม 18 ตัน พบว่าลูกทุเรียนทั้งหมดมีสภาพไม่สมบูรณ์ ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้ขนาดส่งออก เป็นตำหนิ มีทั้งเป็นโรคจากแมลง เพลี้ย และราดำ ไม่ได้มาตรฐานการส่งออกอย่างชัดเจน จึงได้สั่งอายัดทุเรียนเหล่านี้ไว้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย
จากนั้นคณะเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปตรวจสอบล้งอีกจุดซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกัน อยู่บริเวณสี่แยกเขาปีป ม.6 ต.ทุ่งตะไคร อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร พบว่ามีทุเรียนหมอนทองจำนวนหนึ่งเป็นโรคและติดเพลี้ย เป็นราดำ และมีทุเรียนอ่อนปะปนอยู่ด้วย จึงได้ทำการอายัดตรวจสอบดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
สำหรับจำนวนทุเรียนหมอนทองที่ส่งออกประเทศจีนทั้งหมดรวม 38 ตัน ที่ไม่ผ่านด่านตรวจพืชชายแดนที่จ.นครพนม และจ.มุกดาหาร หากหลุดรอดส่งออกไปยังปลายทางประเทศจีนได้ จะมีมูลค่าส่งออกประมาณ 19 ล้านบาท แต่หากถูกตีกลับมาก็จะสร้างความเสียหายแก่วงการทุเรียนจากประเทศไทยเป็นอย่างมาก
ด้านนางสาวมธุรา ศรีพรหม อายุ 43 ปี ผู้จัดการล้งทุเรียน กล่าวว่า ทุเรียนจำนวน 1.7-1.8 หมื่นกิโลกรัม ที่ล้งรับซื้อนี้มาจากชาวสวนทุเรียนในพื้นที่จ.สุราษฎร์ธานี และจ.นครศรีธรรมราช เป็นทุเรียนที่ตกไซซ์ ไม่ได้ขนาด ไม่ใช่ทุเรียนเกรดเอ รับซื้อมาเพียงกิโลกรัมละ 140-150 บาท และตอนรับซื้อก็ไม่ได้มีการตรวจคุณภาพแต่อย่างใด เพียงแค่แยกของดีกับของเสียออกจากกันเท่านั้น
ส่วนการส่งออกไปขายที่ประเทศจีนก็จะมีชิปปิ้งเป็นผู้ดำเนินการ ก่อนส่งออกก็มีการตรวจสอบที่ล้งก่อนแล้วแต่ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะใช้เวลาขั้นตอนในการส่งออกนาน เมื่อทุเรียนไปถึงด่านตรวจพวกโรคพืชและเพลี้ยที่อาจฝักตัวอยู่ในผลทุเรียนจึงแสดงออกมาให้เห็นก็เป็นไปได้
นายธรรมนูญ กล่าวว่า ขั้นตอนก่อนส่งออกทุเรียน เมื่อถึงด่านตรวจพืชชายแดนจะมีการตรวจสินค้าก่อนออกใบรับรองไปยังต่างประเทศ และหากสงสัยว่าทุเรียนด้อยคุณภาพ เป็นโรค มีราดำ มีเพลี้ย มีน้ำหนักต่ำกว่าที่แจ้ง ก็จะระงับการส่งออกและตีกลับมายังต้นทาง
อย่างไรก็ตามก่อนจะส่งทุเรียนออกจากจ.ชุมพร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการตรวจสอบก่อนและมีการติดสติกเกอร์รับรองให้ และเมื่อไปถึงด่านตรวจพืชจะมีการตรวจเอกสารและสินค้าเพื่อรับรองสินค้าก่อนออกจากด่านไปยังต่างประเทศ แต่ถ้าไม่ตรงกันก็จะไม่ออกเอกสารให้ ในด้านกฎหมายนั้นก็ต้องให้ส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้นตนคงตอบไม่ได้ ซึ่งคนในพื้นที่ต้องช่วยกันตรวจสอบดูแลด้วย
ด้านนายดำรงศักดิ์ สินศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.บ้านนา อ.เมือง จ.ชุมพร เจ้าของสวนทุเรียน กล่าวว่า ทุเรียนเป็นพืชสุดท้ายที่ผลผลิตราคายังไปได้ดี ถ้าชาวสวนหรือพ่อค้าเห็นแก่ตัวก็จะเป็นการดับอนาคตของทุเรียนไทย
ส่วนทุเรียนที่เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบในครั้งนี้ ตนพบความผิดปกติเนื่องจากดูคุณภาพของผลผลิตทั้งขนาด ผิวสีของเปลือกทุเรียนแล้ว ไม่น่าจะใช่ทุเรียนที่ปลูกในประเทศไทย น่าจะเป็นทุเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกิโลกรัมเพียง 40-50 บาท เท่านั้น แล้วลักลอบนำเข้ามามาสวมสิทธิ์เป็นทุเรียนไทย แต่โชคดีที่ถูกตรวจพบเสียก่อนไม่งั้นเสียชื่อประเทศไทยแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากเจ้าของล้งทุเรียนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยมาเปิดรับซื้อทุเรียนในพื้นที่จ.ชุมพร ได้มีผู้พ่อค้าซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในจังหวัด เข้าไปพูดจาลักษณะเชิงข่มขู่ให้รับซื้อทุเรียนที่ลักลอบนำเข้าจากประเทศเวียดนาม เพื่อสวมสิทธิ์เป็นทุเรียนไทยที่ปลูกในพื้นที่ จ.ชุมพร
แต่เจ้าของล้งรายดังกล่าวไม่ยินยอมเพราะกลัวถูกจับ และจะมีปัญหาสร้างความเสื่อมเสียงให้กับประเทศไทย และไม่กล้าไปร้องเรียนหน่วยงานเกี่ยวข้องในจังหวัด เพราะเกรงกลัวอิทธิพล จนตัวเองไม่ค่อยกล้าอยู่ที่ล้งรับซื้อทุเรียน ต้องให้ลูกน้องคอยดูแลรับหน้าที่แทนเรื่อยมา