เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เมืองไทย 360 องศา
บรรยากาศการเมืองยามนี้ถือว่าคึกคักเป็นพิเศษ เพราะหากพิจารณาตามภาพรวมๆแล้ว เข้าสู่โค้งสุดท้ายของวาระรัฐบาลแล้ว เพราะมีการยืนยันออกมาแล้วว่าจะมีการ “ยุบสภา” กันในเร็วๆนี้ นั่นคือหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันประชุมสภาสมัยสามัญสมัยสุดท้ายของสภาชุดนี้ ดังนั้น การยุบสภาจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมวันไหนก็ได้
หากเป็นการยุบสภาก็เป็นการเปิดทางให้ส.ส.ได้ย้ายพรรคกันได้ตามสะดวก เพราะตามกฎหมายต้องสังกัดพรรคเพียงแค่ภายใน 30วัน นับจนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งจะว่าไปแล้วการเปิดทางให้ย้ายพรรคแบบนี้มันมีผลบวกกับบางพรรคเท่านั้น เช่น รวมไทยสร้างชาติ พรรคภูมิใจไทย เป็นต้น ที่คาดว่าจะมีส.ส.จากพรรคอื่นไหลเข้ามาเพิ่มเติมอีก ขณะที่พรรคอื่น เช่น พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ก็อาจจะมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นล้วนแล้วแต่ไหลออกมากกว่า
อย่างไรก็ดี หากโฟกัสกันที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นสมาชิกพรรค และล่าสุดนั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ของพรรค และที่น่าสนใจก็คือ “เมเนเจอร์ออนไลน์” นำเสนอรายงานข่าวความเคลื่อนไหว ของพล.อ.ประยุทธ์ ว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา หลังเวลาราชการพล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และแกนนำพรรค ได้หารือในพื้นที่ส่วนตัวถึงการวางตัวบุคคล ที่จะจัดลำดับเป็น ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรค เพื่อเตรียมเปิดตัวหลังปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 28 กุมภาพันธ์
ในการหารือดังกล่าว นายพีระพันธุ์ เสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรค ส่วนลำดับที่ 2 นายพีระพันธุ์ ลำดับที่ 3 นายเอกนัฏ ขณะที่ นายธนกร และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะสมาชิกพรรค ก็จะเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับต้นๆด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา
นอกจากนี้ ในการหารือดังกล่าว ยังมีหารือถึงการรายชื่อกรรมการบริหารพรรคที่จะเข้ามาเพิ่มเติม โดย นายธนกร นายสุชาติ และนายวิทยา แก้วภราดัย กรรมการบริหารพรรค จะเข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคด้วย ซึ่งจะมีการประชุมในเร็วๆ นี้
สำหรับคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีจำนวน 12 คน อาทิ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน นายพีระพันธุ์ นายเอกนัฏ นายไตรรงค์ นายสุชาติ นายธนกร นายวิทยา นายอนุชา บูรพชัยศรี นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายชัชวาลล์ คงอุดม นายเสกสกล อัตถาวงศ์ เป็นต้น โดยคณะกรรมการดังกล่าวจะทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์และแนวทางการบริหารจัดการ เพื่อให้กรรมการบริหารพรรคไปดำเนินการต่อไป
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ว่า หลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ประเดิมขึ้นเวทีปราศรัยแรกที่ จ.ชุมพร ในฐานะสมาชิกพรรครทสช.แล้ว และในเวทีที่สอง ตอนแรกเตรียมปราศรัยที่ จ.เพชรบุรี ล่าสุดได้เปลี่ยนไปเป็น จ.นครราชสีมาแล้ว โดยจะให้เป็นเวทีรวมไทยสร้างชาติสู่อีสาน จากครั้งแรกใช้เวที จ.ชุมพร เป็นประตูรวมไทยสร้างชาติสู่ภาคใต้ นอกจากนี้ ที่สำคัญ จ.นครราชสีมา ถือเป็นบ้านเกิดของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย
ทั้งนี้ กำหนดการเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมแกนนำ ผู้บริหารพรรค ว่าที่ผู้สมัครส.ส.นครราชสีมา และในพื้นที่ภาคอีสาน จะเดินทางไปสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง จ.นครราชสีมา ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ วันที่ 18 กุมภาพันธ์
จากรายงานข่าวข้างต้น ทำให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมลงสมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 และถัดมาก็มีกำหนดการเดินสายปราศรัยอย่างต่อเนื่อง คิวต่อไปมีกำหนดการออกมาแล้วว่าเป็นจังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ซึ่งทั้งสองเรื่องราวถือว่ามีความหมายในทางการเมือง และสำหรับตัวของ “บิ๊กตู่” เอง
เพราะหากย้อนกลับไปนับตั้งแต่การรัฐประหาร เมื่อปี 2557 เป็นต้นมา ภาพที่ถูกฝ่ายตรงข้ามชี้หน้าฉายภาพว่าเป็น “เผด็จการ” และต่อมาขณะที่เป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อปี 62 เขาก็ถูกระบุว่าเป็นการ “สืบทอดอำนาจ” ยังมีลักษณะที่ยังถูกกล่าวหาว่าเป็น “เผด็จการสืบทอดอำนาจ” อยู่ดี ซึ่งถือว่ายังเป็น “จุดอ่อน” ที่ฝ่ายตรงข้าม อย่างฝ่ายนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยที่ “เคลม” มาตลอดว่าตัวเองเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” นำไปตีกินอยู่ตลอดเวลา เพราะประชาธิปไตยในนิยามของพวกเขาคือ “การเลือกตั้ง”
แต่สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ ภายใต้กติกาใหม่ มีการปรับปรุงใหม่ และที่สำคัญก็คือ มันก็มี “เดิมพันสูงมาก” สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นคือต้องกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี อีกครั้งในวาระที่เหลืออยู่อีก 2 ปี ซึ่งแม้ว่าเอาเข้าจริงก็สามารถดำรงตำแหน่งถึง 3 ปีกว่า แต่เอาเป็นว่าพิจารณาตามรูปการณ์แล้วมองเห็นว่า เขา “จัดเต็ม” และลุยเต็มสูบแน่นอน
และที่สำคัญก็คือ การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ลงสมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่1 จากเดิมที่มีข่าวว่าเขาจะเป็นแค่แคนดิเดตนายกฯของพรรครวมไทยสร้างชาติเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ รวมไปถึงการ “นำทัพ” เดินสายปราศรัยเองแบบนี้ ถือว่าเป็นการ “ปิดจุดอ่อน” ในเรื่องเผด็จการได้แทบจะสิ้นเชิง เพราะเป็นการต่อสู้กัน ตามกติกาประชาธิปไตย
สำหรับกำหนดการปราศรัยที่โคราช ในวันที่18 กุมภาพันธ์นี้ หากพิจารณาในแง่ของยุทธศาสตร์ก็ถือว่าสำคัญ นั่นคือ นอกเหนือจาก “ประตูสู่อีสาน” เหมือนกับที่ประเดิมที่จังหวัดชุมพร ที่เป็นพื้นที่ฐานเสียงแข็งแกร่งแล้ว เป็นการเริ่มต้นอย่างมั่นใจ สำหรับโคราชก็มีความหมายเนื่องจากเป็น “บ้านเกิด” สามารถสร้าง “กระแสนายกฯอีสาน”ตัวจริง เพราะนอกจากเกิดที่โคราชแล้ว เขายังมีแม่เป็นคนมหาสารคามอีกด้วย เรียกว่า“อีสานเต็มขั้น” และเชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะชูประเด็นนี้เรียกเรตติ้ง ทั้งในพื้นที่ โคราช ที่มีส.ส.มากถึง 16 ที่นั่ง และภาคอีสาน ที่มีจำนวนส.ส.มากที่สุด132 ที่นั่ง เพิ่มมาจากเลือกตั้งคราวที่แล้ว ที่มีจำนวน 116 คน
ดังนั้น หากพิจารณากันถึงแนวโน้มการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ใครที่เคยปรามาส “บิ๊กตู่” ว่าไปไม่กลับแล้ว น่าจะคิดกันใหม่ เพราะเป็นความเคลื่อนไหวที่กำลังคึกคักขึ้นทุกวัน กำลังพลิกจุดอ่อนให้กลายเป็นจุดแข็ง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามอย่าง นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่” ที่มักเคลมเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอด แต่คราวนี้น่าจะต้องเจอศึกหนัก ทั้งจากอดีตคนใกล้ตัวอย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่กำลังสาวไส้รายวัน จนติดกับดักไม่กล้าก้าวขาออกมาก็แล้วกัน !!