“ก้าวไกล” เปิดชุดนโยบายแรก ประเดิมนโยบายการเมืองชุดใหญ่ สังคายนาทหาร ศาลรัฐธรรมนูญ ชูจุดยืนคนเท่ากัน ผลักดันหลายนโยบายก้าวหน้า นิรโทษกรรมคดีการเมือง แก้ 112 และลงนามศาลอาญาระหว่างประเทศ หวังสร้างการเมืองก้าวหน้า ประชาธิปไตยเต็มใบ ตามสูตร หากการเมืองไม่ดี จะไม่มีวันได้เห็นประเทศก้าวหน้ากว่านี้
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2565 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกลเปิดตัวนโยบายประชาธิปไตย “ต้องก้าวไกล ประเทศไทยก้าวหน้า” ซึ่งเป็นการเปิดตัวนโยบายชุดแรกของพรรคคือ “การเมืองไทยก้าวหน้า” ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลักคือ ทหารของประชาชน ศาลของประชาชน คนเท่ากัน และรัฐธรรมนูญใหม่ปลดล็อกประเทศไทย นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงนโยบายชุดแรกของพรรคว่า ชุดนโยบายของก้าวไกลเป็นบ้านนโยบายที่ชื่อว่า “ไทยก้าวหน้า” มีเป้าหมายคือการสร้างประเทศไทยที่ก้าวหน้าใน 9 ประเด็นคือ การเมืองไทยก้าวหน้า ราชการไทยก้าวหน้า ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า เศรษฐกิจไทยก้าวหน้า เกษตรไทยก้าวหน้า สวัสดิการไทยก้าวหน้า การศึกษาไทยก้าวหน้า สุขภาพไทยก้าวหน้า และสิ่งแวดล้อมไทยก้าวหน้า โดยทั้งหมดอยู่บนฐานคิดเดียวกัน คือประเทศไทยเป็นของประชาชน
“เหตุที่ต้องเปิดนโยบายการเมืองเป็นอันดับแรก เพราะหากการเมืองไม่ดี ยากที่เศรษฐกิจ สังคม ปัญหาอื่นๆ จะถูกแก้ไขได้ เพราะการเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจและทรัพยากร ใครจะได้บริหารประเทศ ใครจะเอาภาษี เอางบประมาณไปใช้ทำอะไร จะนำพาประเทศไปในทางไหน หากการเมืองไม่ดี เราจะไม่มีวันได้เห็นประเทศที่ก้าวหน้ากว่านี้” นายพิธากล่าว
ด้านนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า นโยบายปฏิรูปกองทัพ เริ่มจากการ “แจกใบแดงนายพล” ห้ามนายพลเกษียณอายุเป็นรัฐมนตรีจนกว่าจะเกษียณครบ 7 ปี เพื่อตัดวงจรการใช้อำนาจเส้นสายระบบอุปถัมภ์ของกองทัพมาสู่อำนาจทางการเมือง นอกจากนี้พรรคก้าวไกลยังมีนโยบายยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใช้อำนาจล้นเกิน ก้าวก่ายกิจการราชการพลเรือน และในขณะเดียวกันก็ยกเลิกกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งนำไปสู่การซ้อมทรมานในค่ายทหาร สร้างบาดแผล ความไม่ไว้วางใจให้กับคนในพื้นที่ ขัดขวางการสร้างสันติภาพในชายแดนใต้
นายพิจารณ์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จะมีการปรับโครงสร้างกองทัพให้กระชับ คล่องตัว ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร ลดจำนวนนายพล เพิ่มสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย ยกเลิกระบบทหารรับใช้ ทหารต้องมีศักดิ์ศรีและปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ นอกจากนี้พรรคก้าวไกลยังจะจัดการให้กองทัพคืนธุรกิจของกองทัพ ทั้งสนามกอล์ฟ โรงแรม ม้า มวย ให้กับรัฐบาล รวมถึงคืนที่ดินของกองทัพที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศ ให้มาเป็นที่ทำกินของประชาชน แล้วให้ท้องถิ่นนำมาใช้ประโยชน์ เช่น ทำสนามกีฬาหรือลานอเนกประสงค์
ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า นโยบายการเมืองไทยก้าวหน้า ในหมวดศาลและกระบวนการยุติธรรม เริ่มจากการปฏิรูปศาลให้ยึดโยงรับใช้ประชาชน ให้ผู้พิพากษาต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน และแก้ไขกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้แก่ กฎหมายอาญามาตรา 112, มาตรา 116, พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ซึ่งพรรคก้าวไกลได้เสนอแก้ไขไปแล้ว และขณะนี้ร่างแก้ไขชุดกฎหมายเหล่านี้ ได้ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาแล้ว ยกเว้นร่างแก้ไขกฎหมาย 112 ที่สภาไม่ยอมบรรจุเข้าวาระ โดยอ้างว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่พรรคก้าวไกลยืนยันจะเดินหน้าผลักดันต่อไปหากได้เป็นรัฐบาล และย้ำว่าการแก้ 112 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
วิพากษ์วิจารณ์สถาบัน
อีกทั้งนโยบายการนำรัฐบาลไทยให้สัตยาบันรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC เพื่อชำระสะสางคดีอาชญากรรมที่รัฐกระทำต่อประชาชน เช่น เหตุการณ์สังหารหมู่คนเสื้อแดงในปี 2553 รวมถึงโศกนาฏกรรมตากใบ และป้องกันไม่ให้เกิดอาชญากรรมเช่นนี้อีกในอนาคต ยุติวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลที่เกาะกินประเทศไทย และข้อเสนอใหญ่ที่สุดของพรรคก้าวไกล คือการนิรโทษกรรมคดีการเมือง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา เพื่อคืนความเป็นธรรมและอนาคตให้กับประชาชนที่ต้องคดีการเมืองเพียง เพราะแสดงความเห็นต่าง และวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน
นอกจากนี้ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล เขตสายไหม กทม. กล่าวว่า ชุดนโยบายการเมืองไทยก้าวหน้า ในหมวด “คนเท่ากัน” ซึ่งว่าด้วยการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เริ่มจากการจ้างงานคนพิการ 20,000 ตำแหน่ง เพื่อให้ดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี รวมถึงการเสนอนโยบาย “อัตลักษณ์ทางเพศก้าวหน้า” คือการรับรองความหลากหลายทางเพศอย่างเท่าเทียมกัน บุคคลเลือกคำนำหน้าได้ตามความสมัครใจ และมีการเพิ่มตำรวจหญิงทุกสถานี เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีล่วงละเมิดทางเพศ เอื้ออำนวยให้ผู้เสียหายสะดวกใจที่จะเข้าแจ้งความ ไม่กระทบกระเทือนจิตใจซ้ำจากกระบวนการสอบสวน นำไปสู่การอำนวยความยุติธรรมในคดีทางเพศอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อีกนโยบายที่ส่งเสริมสิทธิผู้หญิง คือการเพิ่มวันลาคลอดเป็น 180 วัน และพ่อแม่สามารถแบ่งกันใช้ได้ เพื่อให้หน้าที่เลี้ยงลูกในวัยแรกเกิดเป็นของทั้งพ่อและแม่ ไม่เป็นภาระของแม่แต่เพียงฝ่ายเดียว นโยบายนี้จะยังเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัว ให้เด็กได้เติบโตมาอย่างอบอุ่น ได้รับการดูแลโอบอุ้มจากพ่อแม่อย่างใกล้ชิดในวัยเริ่มต้นของชีวิต นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังจะเสนอให้พระสามารถเลือกตั้งได้เช่นเดียวกับนักบวชศาสนาอื่น เนื่องจากพระก็ยังต้องไปเกณฑ์ทหาร ยังต้องอยู่ใต้กฎหมาย แต่กลับต้องถูกยกเว้นไม่ได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้ง
ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารและรณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกล กล่าวว่า นโยบายการเมืองไทยก้าวหน้า ด้วยการสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่ฉบับประชาชน ที่มีเนื้อหาสำคัญคือการปิดช่องรัฐประหาร ปิดช่องการให้คณะรัฐประหารนิรโทษกรรมตัวเอง ปลดอาวุธระบอบประยุทธ์ที่ถูกฝังไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 คือ ส.ว.แต่งตั้ง องค์กรอิสระ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รัฐธรรมนูญใหม่ยังจะต้องปลดล็อกท้องถิ่นใน 3 เรื่อง คือปลดล็อกอำนาจ ให้ท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดการบริการสาธารณะทั้งหมดในพื้นที่ ปลดล็อกงบประมาณ ให้ท้องถิ่นมีเงินเพียงพอในการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่ และที่สำคัญที่สุด คือการปลดล็อกทุกจังหวัด ให้ผู้บริหารสูงสุดของทุกจังหวัดมาจากการเลือกตั้ง
สวัสดิการไทยก้าวหน้า
“ยืนยันว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องเป็นไปโดยตัวแทนของประชาชน โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) โดยตรงจากประชาชน ซึ่งหากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล จะจัดการประชามติเพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันทีภายใน 100 วันแรก และจัดทำรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ เพื่อให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าเป็นครั้งสุดท้ายที่จัดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 แต่การเลือกตั้งครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปลดล็อกประเทศไทยจากมรดกคณะรัฐประหารอย่างแท้จริง”
เขากล่าวว่า ชุดนโยบายการเมืองไทยก้าวหน้า เป็นชุดนโยบายแรกที่พรรคก้าวไกลเปิดต่อสาธารณะ แต่ในเดือน พ.ย. พรรคจะเปิดชุดนโยบายต่อไป ได้แก่ ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า ว่าด้วยการปลดปล่อยศักยภาพของท้องถิ่น ให้เจริญทัดเทียมกันทั่วประเทศ และสวัสดิการไทยก้าวหน้า เปิดชุดนโยบายสวัสดิการถ้วนหน้าครบวงจร ไม่ต้องพิสูจน์ความจน ที่เรามั่นใจว่าจะโอบอุ้มประชาชนทั้งประเทศให้ก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างเท่าเทียมกันได้ ลดความเหลื่อมล้ำที่เกาะกินสังคมไทยมานาน” นายพริษฐ์กล่าว
วันเดียวกันนี้ นายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนการรวมกันของพรรค สอท. และพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) โดย น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรค ทสท. ได้ตั้งเงื่อนไขว่าอุดมการณ์ต้องชัด และไม่เป็นนั่งร้านให้เผด็จการ ว่า นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค สอท. ย้ำจุดยืนในเรื่องนี้แล้ว จะไม่เป็นนั่งร้านให้กับใคร และมีจุดยืนเป็นของตัวเอง โดยเสนอนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค สอท. เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค
เมื่อถามว่า การที่พรรค สอท.เสนอ นายสมคิดเป็นแคนดิเดตนายกฯ จะไม่มีผลกระทบต่อการไปรวมกับพรรคอื่นในอนาคตใช่หรือไม่ นายนริศกล่าวว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องของอนาคต จึงต้องไปดูว่าจะเป็นอย่างไร แต่พรรค สอท.มีความชัดเจนในเรื่องของนโยบายและอุดมการณ์ของพรรค เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยพรรค สอท.เชื่อว่านายสมคิดจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ และคณะ ร่วมงานรวมพลังประชาธิปัตย์ชุมพร ที่เพื่อนใจรีสอร์ต จ.ชุมพร เพื่อเปิดตัวผู้สมัครชุมพร ประชาธิปัตย์ทั้ง 3 เขต ประกอบด้วย เขต 1 “ตาร์ต-อิสรพงษ์ มากอำไพ” ส.ส. 1 สมัย, เขต 2 “สราวุธ อ่อนละมัย” ส.ส.ชุมพร 3 สมัย และเขต 3 “มีศักดิ์ ภักดีคง” อดีตรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตอธิบดีกรมประมง
นายจุรินทร์ให้สัมภาษณ์ว่า มีความมั่นใจจากผู้สมัครของพรรคทั้ง 3 เขต เป็นผู้มีศักยภาพสูงทุกคน เราสามารถคัมแบ็กแน่นอนในส่วนของจังหวัดชุมพร
เมื่อถามว่า ในเขตเลือกตั้งที่ 3 นั้น เดิมมีอดีต ส.ส.ปชป.ที่ย้ายไปสนับสนุนพรรคอื่น จะทำให้เป็นการแย่งฐานคะแนนเดิมหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตอบว่า ประชาธิปัตย์ก็มีฐานของประชาธิปัตย์ บวกกับผู้สมัครหน้าใหม่ที่มีฐานส่วนตัว มีฐานครอบครัว ญาติมิตรเพื่อนฝูงในเขต 3 จำนวนมากเช่นกัน ดังนั้นเราก็ต้องมั่นใจว่าเราสู้ได้ ส่วนคู่ต่อสู้นั้นเป็นเรื่องปกติที่ต้องแข่งกัน ไม่ว่าเขตไหนก็ต้องมีหลายพรรคการเมืองแข่ง ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.ปัจจุบันหรือเป็นอดีต ส.ส. หรือผู้สมัคร ซึ่งเหมือนกับทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้
‘จุรินทร์‘ขอภาคใต้กว่า 40 ที่นั่ง
“ชุมพรคงไม่มีเขตไหนลงสมัคร 2 คน ก็คงมี 3-9 คน ธรรมดาทุกครั้งอย่างนี้ แต่เรามั่นใจว่าเที่ยวนี้เราพร้อมมากสำหรับ 3 เขตของชุมพร” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ถามถึงจำนวน ส.ส.ภาคใต้ที่คาดหวังในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า เราเคยประกาศไปแล้ว 35-40 ตนคิดว่าเป็นไปได้มาก 40 ที่นั่ง ซึ่งเราไม่ได้พูดจากความฝัน แต่เราพูดจากฐานความเป็นจริง ส่วนประเด็นที่บอกว่าทุกพรรคการเมืองมารุมอยู่ที่ภาคใต้ ทุกพรรคก็เป็นอย่างนี้ ไม่เคยมีครั้งไหนที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคไม่มะรุมมะตุ้มอยู่ในภาคใต้ ขอให้ไปย้อนดูแต่ละเขต มีตั้งแต่ 4 คน 5 คน 10 คน 12 คนก็มี ที่ผ่านมาประชาธิปัตย์จะเป็นตัวยืนทุกครั้ง และมีพรรคการเมืองอื่นลงมาเป็นคู่แข่งขัน ซึ่งเราก็ยืนหยัดมาได้ถึงวันนี้ แม้ว่าแต่ละช่วงจะได้มากบ้าง น้อยบ้าง แต่เราก็ยืนหยัดมาได้ ซึ่งเที่ยวหน้าตนก็คิดว่าไม่ได้มีปรากฏการณ์ที่แปลกอะไรขึ้นมาในแง่ที่จะต้องมีหลายพรรคลงไปแข่ง
เมื่อถามว่า กระแสข่าวจะมีสมาชิกพรรคย้ายเข้าและย้ายออก ขณะนี้นิ่งแล้วหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า นิ่ง แต่ก็ธรรมดา เพราะตนก็เคยพูดไว้แล้วว่าทุกพรรคการเมืองพอใกล้โหมดเลือกตั้งจะมีเข้า-มีออก ไม่มียกเว้น ไม่ใช่มีแต่ประชาธิปัตย์จะเข้า-จะออก แต่มีทุกพรรควันนี้ก็ยังเห็นอยู่ทุกวันว่ามีเข้า-มีออก
“มันเป็นเรื่องธรรมดา บางคนพอพรรคตัดสินใจเลือกนาย ก. นาย ข. ก็ต้องย้ายพรรค ถ้าจะลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะพรรคส่งเขตเดียว 2 คนไม่ได้ ก็เป็นที่มาที่อาจจะต้องย้ายพรรค นี่ผมพูดในภาพรวมนะ บางท่านต้องการเงื่อนไข แต่พรรคนั้นๆ ให้ไม่ได้ ก็เปลี่ยนพรรค ซึ่งก็สุดแล้วแต่เหตุผลของแต่ละคน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นอกจากนี้ นายจุรินทร์ยังกล่าวด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์จะมีคนใหม่ๆ เข้ามาหลายคน เมื่อถึงเวลาก็จะทยอยเปิดตัว และที่เปิดตัวไปแล้วก็หลายคน ไม่ได้มีแต่นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ และ น.ส.วทันยา บุนนาค เท่านั้น ยังมีอีกหลายคนที่เป็นคนรุ่นใหม่ เช่นภาคใต้ที่เปิดตัวไปแล้วที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก็จบจากประเทศอังกฤษ และอีกไม่นานจะมีในจังหวัดอื่นๆ อีก ซึ่งจะได้แจ้งให้ทราบต่อไป แม้แต่ในกรุงเทพฯ ก็จะมีผู้สมัคร ส.ส.รุ่นใหม่ที่จะเดินเข้าพรรคอีกหลายคน และมีผู้สมัครหน้าใหม่ที่มีศักยภาพ มีโอกาสได้รับเลือกเป็น ส.ส.แน่นอน
ขณะที่นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ตอนนี้ในภาคใต้ของเราค่อนข้างพร้อมในเรื่องของผู้สมัครและผู้สนับสนุน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ภาคใต้ ในภาคอื่นๆ ก็มีครบทุกภาคเช่นกัน ทั้งส่วนของผู้สมัครใหม่และ ส.ส.เดิม แต่ขณะนี้ต้องรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อเปิดตัว สำหรับผู้สมัครของเราไม่จำเป็นต้องรอเปิดตัวก่อนแล้วค่อยทำงาน เพราะในพื้นที่ส่วนใหญ่จะรู้กันแล้วว่าคนนี้ลงผู้แทนในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ก็ต้องเปิดให้สาธารณชนทราบเช่นกัน ซึ่งจะทยอยเปิดตัวไปเรื่อยๆ.