เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 ภาพวงจรปิดภายในโรงงานกระบี่วิเศษน้ำมันปาล์ม จำกัด ในพื้นที่หมู่ 5 ต.คลองท่อมเหนือ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ บันทึกภาพขณะหญิงสาวรายหนึ่งเดินออกจากห้องน้ำ ไปยังป่าละเมาะข้างต้นสน ภายในโรงงาน ในมือมีลักษณะอุ้มอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นหลักฐานที่ตำรวจใช้ในการติดตามหญิงรายนี้ หลังจากพบว่าเป็นผู้ที่นำทารกเพศชาย ที่เพิ่งคลอดไปทิ้งไว้ในป่าละเมาะ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังเกิดเหตุทาง รปภ.ของบริษัทได้เดินไปพบเนื่องจากได้ยินเสียงเด็กทารกร้อง จึงได้แจ้งพนักงานให้มาดูแล้วรีบนำส่ง รพ.คลองท่อม ก่อนแจ้ง ตร.สภ.คลองท่อมมาตรวจสอบ
พนักงานของบริษัทเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด จนพบว่าน่าจะเป็นหญิงสาวรายดังกล่าวที่เป็นแม่เด็กจึงได้ตรวจสอบจนทราบว่าเป็นภรรยาของคนขับรถบรรทุกพ่วงที่ได้เข้ามายังบริษัทเพื่อรับซื้อกะลาปาล์มไปส่งที่ จ.ชุมพร จึงได้มอบหลักฐานให้ทางตำรวจช่วยติดตามหาตัว ทั้งนี้หลังเกิดเหตุทางพนักงานของบริษัทรวมทั้งฝ่ายบริหาร มีความเอ็นดูเด็กอย่างมาก ได้คอยติดต่อสอบถามอาการ และต้องการอุปการะเด็กคนนี้ โดยเบื้องต้นได้มีการตั้งชื่อเล่นว่า น้องต้นสน ชื่อจริงคือน้องวิเศษ
ขณะที่ พ.ต.ท.สมพร สงแสง สารวัตรสอบสวน สภ.คลองท่อม เจ้าของคดีเผยว่า เหตุดังกล่าวหลังรับแจ้งก็ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และตรวจสอบกับทาง รพ.คลองท่อม พบว่าเด็กเมื่อคลอดแล้วแม่ได้นำไปทิ้งทันทีโดยมีรกติดไปด้วย และผ่านมานานทำให้มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด จึงได้นำส่งต่อ รพ.กระบี่ ซึ่งล่าสุดได้สอบถามไปพบว่าอาการยังน่าห่วงแพทย์ระบุว่าติดเชื้อในกระแสเลือดทั่วร่างกายอาการอาจไม่รอด ส่วนทางแม่นั้นได้ติดตามจนพบว่าเป็นหญิงสาวอายุ 23 ปี บ้านอยู่ จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งในครั้งแรกไม่ยอมรับแต่เมื่อนำไปตรวจร่างกายพบว่าเพิ่งคลอดบุตร จนยอมรับในหลักฐานว่า เป็นแม่เด็กจริง โดยให้การว่าที่ทิ้งลูกไปนั้น เพราะตนมีลูกแล้ว 1 คน วัย 2 ขวบ มีอาชีพทำงานร่วมกับสามีคือขับรถบรรทุกไปไหนก็จะอยู่บนรถทำให้คิดว่าจะลำบากในการเลี้ยงลูก จึงได้นำไปทิ้งดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ได้ให้ไปแจ้งเกิดทำใบสูติบัตรให้เด็ก ส่วนทางคดียังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา เนื่องจากต้องรอให้เด็กปลอดภัย ซึ่งก็มี 2 แนวทาง คือ หากพ้นขีดอันตรายก็จะเป็นความผิดทอดทิ้ง แต่เมื่อยอมรับและเลี้ยงดูต่อก็ไม่มีปัญหา แต่หากเด็กเสียชีวิตขึ้นมาก็จะมีความผิดทางอาญามีโทษหนัก ซึ่งคงต้องรอดูว่าผลจะออกมาเช่นไร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่