“เฉลิมชัย” มอบ ”อลงกรณ์” ล่องใต้หนุนชุมพรเป็นฮับผลไม้ภาคใต้ มั่นใจรถไฟจีน-ลาวช่วยเพิ่มการส่งออกปีนี้
เมื่อวันที่ 23 มกราคม นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีปล่อยกุ้งก้ามกรามและสัตว์น้ำ คืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ 1,500,000 ตัว ณ คลองนาคราช ตำบลตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร จัดโดยกรมประมง เพื่อเพิ่มแหล่งอาหาร สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้แก่ชาวประมง และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมทั้งเป็นการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำ และคืนความหลากหลายของชนิดสัตว์น้ำ ทำให้เกิดความสมดุลตามธรรมชาติของระบบนิเวศน์ โดยมีนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง นำเยี่ยมชมบูธพร้อมทั้งบรรยายสรุปสถานการณ์การทำประมงในพื้นที่
นายสราวุธ อ่อนละมัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ชุมพร เขต 2, นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ, นายอิสรพงษ์ มากอำไพ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ชุมพร เขต 1, นายนักรบ ณ ถลาง นายอำเภอเมือง สมาชิกสภา อบจ. ตลอดจน นายก อบต. และกำนันตำบลตากแดด ร่วมด้วย ท่ามกลางส่วนราชการ ภาคประชาชน ภาคเอกชน อสม. ครู นักเรียนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ
พร้อมกันนี้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตร ยังได้ติดตามความคืบหน้าของการพัฒนาระบบชลประทานเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค รวมทั้งโครงการป้องกันอุทกภัยของจังหวัดชุมพร ซึ่งดำเนินการโดยกรมชลประทานและหน่วยงานอื่นๆ โดยใช้งบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท โดยจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2567 เพื่อแกัปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากหลายปีติดต่อกัน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับชุมพรตลอดมา ซึ่ง ส.ส.มีส่วนสำคัญในการประสานงานอย่างต่อเนื่องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในระหว่างพิธีเปิดว่า ชุมพรเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงมากมีรายได้ต่อหัวของประชากรกว่า 200,000 บาท/ปี อยู่ในกลุ่มท็อป 20 ของประเทศ โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายที่จะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ปี 2565 เป็นกว่า 100,000 ล้านบาท โดยมีภาคเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญซึ่งมีพืชเศรษฐกิจหลักทำรายได้ให้จังหวัด เช่น ทุเรียน ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มะพร้าว และกาแฟโรบัสต้า รวมทั้งเศรษฐกิจภาคบริการด้านการท่องเที่ยว จึงได้วางนโยบายที่จะพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดชุมพร ให้ก้าวสู่เป้าหมายใหม่ของการพัฒนาอย่างน้อยใน 3 ด้าน ดังนี้
1.นโยบายพัฒนาชุมพรเป็นมหานครผลไม้ภาคใต้ เช่นเดียวกับ จ.จันทบุรี ในภาคตะวันออก ซึ่งการส่งออกผลไม้ของไทยกำลังเติบโดยอย่างรวดเร็วในปี 2564 เพียง 11 เดือน เราส่งออกผลไม้คิดเป็นมูลค่า 150,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นปีแรกที่ทุเรียนส่งออกได้เกิน 100,000 ล้านบาท ซึ่ง จ.ชุมพรเป็นจังหวัดที่ผลิตทุเรียนได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางขนส่งผลไม้ทางรถไฟสายจีน-ลาว จะเพิ่มการส่งออกผลไม้ได้มากขึ้นในปีนี้ จึงต้องเร่งยกระดับการพัฒนาชุมพรเป็นฮับผลไม้ภาคใต้
2.นโยบายพัฒนาชุมพรเป็นฮับกาแฟโรบัสต้าของประเทศ โดยสร้างแบรนด์สร้างมูลค่ากาแฟโรบัสต้าที่ชุมพรผลิตได้มากเป็นอันดับ 1 สู่กาแฟมูลค่าสูงทั้งตลาดในและต่างประเทศ เพราะตลาดกาแฟกำลังขยายตัว เติบโตทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง จะพัฒนาคู่ขนานกับกาแฟอะราบิก้าของภาคเหนือ
3.นโยบายพัฒนาชุมพรเป็นประตูท่องเที่ยวเกตเวย์ทะเลใต้ เพราะนอกจากชุมพรเป็นประตูสู่ภาคใต้แล้วยังมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวทางทะเล มีท่าเรือบริการเชื่อมเกาะและหมู่เกาะในอ่าวไทย เช่น เกาะสมุย และหมู่เกาะอ่างทอง โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติชุมพรมีเกาะกว่า 40 เกาะ เช่นเกาะทะลุ เกาะงามใหญ่ เกาะง่ามน้อย เกาะลังกาจิว ถือเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เราต้องเตรียมความพร้อมรองรับโอกาสทันทีที่วิกฤติโควิดคลี่คลาย และนักท่องเที่ยวกลับมา
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุมพรทุกคนพร้อมสนับสนุนจังหวัดชุมพรในทุกด้านเพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน
หลังจากนั้น นายอลงกรณ์ และคณะได้ลงพื้นที่สำรวจศักยภาพของชุมพรในฐานะฮับผลไม้ภาคใต้ และติดตามสถานการณ์การส่งออกทุเรียนปลายฤดู ณ ตลาดกลางผักและผลไม้ตลาดมรกต ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร โดยพบปะหารือกับผู้ประกอบการเพื่อรับทราบปัญหา อุปสรรคและเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูการผลิตต่อไป
พร้อมกันนี้ เข้าเยี่ยมชม ผู้ประกอบการห้องเย็น ครบวงจร ขนาดใหญ่ มาตรฐานส่งออก ซึ่งมีการนำระบบไนโตรเจนเทคโนโลยีมาใช้เพื่อยืดอายุการจัดเก็บ และรักษารสชาติ ทุเรียนผลสด รวมถึงทุเรียนเนื้อแกะเมล็ดด้วยไนโตรเจนเหลว ที่อุณหภูมิลบ 190 องศา ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาทุเรียนเน่าเสียหายเพราะการขนส่งที่ติดขัดของด่านต่างๆ จากมาตรการ Zero Covid ของจีน นอกจากนี้ ยังสามารถเก็บสต็อกทุเรียนและผลไม้อื่นๆ ที่ทะลักออกมามากพร้อมกัน โดยแช่แข็งเก็บไว้ได้นานถึง 18 เดือน เพื่อรอระบายสู่ตลาดในและต่างประเทศ ทั้งยังคงสภาพความสดอร่อยได้เกือบเทียบเท่าผลสดอีกด้วย